1. ไม้คลุมดิน กิ่งก้านเลื้อยทอดลงปรกดิน จึงทำให้ค่อนข้างเตี้ย ต้องตัดแต่งบ่อย ๆ เพราะโตเร็ว ปล่อยไว้มักรุงรัง และไม่สวย เพราะใบจะเล็กลง ไม่คอยแตกใบใหม่ และ ไม่ผลิดอก ไม้พวกนี้ใช้ปลูกคลุมโคนไม้ใหญ่ ขอบสระ แทรกก้อนหิน ริมขอบถนน สนาม รั้ว ปลูกเป็นแปลง ไม้คลุมดินมีทั้งไม้ดอกและไม้ใบ เช่น คุณนายตื้นสาย แพรเซี่ยงไฮ้ ฟ้าประดิษฐ์ ผกากรอง บัวฝรั่ง หัวใจม่วง ซุ้มกระต่าย เศรษฐีเรือนใน หนวดปลาดุก การะเกด เหิน พลูทอง พลูด่าง เงินใหลมา ไฟเรีย ปีกแมลงสาบ เป็นต้น
2. ไม้พุ่ม มีลำต้นแข็ง มักมีลำต้นย่อม ๆ อยู่ด้วยกันหลาย ๆ ลำ แผ่กิ่งก้าน และใบค่อนข้างแน่น มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลาง โดยปกติต่ำกว่า 3-4 เมตร ตัดแต่งทรงพุ่มได้ ถ้าปลูกในสวนขนาดเล็ก อาจตัดแต่งให้มีลำต้นเดียว เพื่อให้เหมือนไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แต่ถ้าปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นทั่วไปในสวนขนาดใหญ่ ก็ใช้ปลูกเป็นกลุ่ม ๆ ในหมู่ไม้พุ่มด้วยกัน ปลูกริมรั่ว หรือทำรั่ว ปลูกเป็นแนวหรือแปลง ตัดแต่งให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ก็ได้ ตัวอย่างไม้พุ่ม ได้แก่ เข็มต่าง ๆ อังกาบ ปัตตาเวีย มะขามเทศด่าง กาหลง โยทะกา หางนกยูงไทย ชุมเทศเห็ด หลิวไต้หวัน ชบาต่าง ๆ พวงทองต้น แก้ว โมก หูปลาช่อน เล็บครุฑ โกสน ราชาวดี พุดฝรั่ง ยี่โถ พุตซ้อน เป็นต้น
3. ไม้ยืนต้น มีลำต้นแข็ง เป็นลำต้นเดี่ยว ๆ ขึ้นไปจนถึงยอด สูงใหญ่ และอายุยืน มีทั้งไม่ยืนต้นขนาดเล็ก เช่น แก้ว โมก แสงจันทร์ ยี่เข่ง เชอร์รี่ มะนาวเทศ หนามแดง คอร์เดีย ไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่น พิกุล ลั่นทม กุ่มบก มะกล่ำตาช้าง ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ อินทนิลบก และไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เช่น ขนุน แคแสด ชมพูพันธุ์ทิพย์ ประดู่ สาเก ปีป (สูง 10-25 เมตร เป็นทั้งไม้ขนาดกลางถึงไม้ขนาดใหญ่) ไทร เสลา ตะแบกนา ไม้ยืนต้นใช้ปลูกเป็นร่มเงา ปลูกเป็นจุดเด่นหรือไม้ประธานในสวน มีทั้งไม้ดอก และไม้ผล บางชนิดไม่ควรปลูกใกล้ตัวบ้านหรือกำแพงมากนัก เพราะระบบรากแข็งแรง โดเร็ว อาจชอนเข้าไปยังฐานรากหรือตัวบ้าน และกำแพงจนร้าว เช่น ไทร หางนกยูงฝรั่ง หูกวาง บางชนิดมีกิ่งเปราะหักง่าย และอันตราย โดยเฉพาะเวลามีพายุเช่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ ประดู่ ดังนั้น การปลูกต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ต้องคำนึงถึงขนาดของมันเมื่อโตขึ้นในอนาคตด้วย
4. ไม้เลื้อย คือไม้ที่มีกิ่งก้านเลื้อยรัดพันขึ้นสู่ที่สูง บางพันธุ์เป็นไม้เถาเนื้ออ่อน เช่น อัญชัน พวงชมพู บางพันธุ์เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เช่น สายน้ำผึ้ง ชมนาด ชอบแสงจัด ใช้ปลูกขึ้นพันรั่ว กำแพง ซุ้มประตู หลังคาศาลา แผงบังตา นอกจากจะสวยงาม ยังให้ความเป็นส่วนตัว ไม้เลื้อยมีทั้งดอกหอมและไร้กลิ่น ใบเล็กละเอียดจนถึงใบใหญ่ เลือกใช้ตามความเหมาะสม
5. ไม้น้ำ เป็นพืชที่ปลูกในน้ำ อ่าง หรือสระ เนื้อที่น้อยปลูกใส่อ่างหรือภาชนะ ตั้งประดับในสวนหรือมุมบ้านได้ ชอบแสงจัด มิฉะนั้นจะเน่า หรือ ไม่ออกดอก ไม้น้ำมีทั้งชนิดดอกและใบ บางพันธุ์มีใบปริ่มน้ำ มีก้านใบชูสูงพ้นน้ำ แต่บางชนิดอยู่ใต้น้ำ เช่น พวกสาหร่ายต่าง ๆ ไม้น้ำที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ บัวหลากพันธุ์ กระจับญี่ปุ่น บัวบา ฝิ่นน้ำ ผักตบไทย ผักตบชวา อเมซอน คล้าน้ำ ลานไพลิน กก แว่นแก้ว จอก เป็นต้น
6. ไม้ริมน้ำ ขึ้นในที่ค่อนข้างชื้นแฉะได้ดี เหมาะที่จะปลูกประดับชายน้ำ ขอบสระ ชอบแสง ตัวอย่าง เช่น จิกน้ำ พลับพลึงต่าง ๆ กก พุทธรักษา เฮลิโคเนีย มหาหงส์ เตย หลิวเลื้อย กระดุมทองเลื้อย เป็นต้น
7. ไม้ในร่ม ปลูกได้ในที่มีแสงอ่อนหรือแสงรำไร โดยมากมักเป็นไม้ใบ มีตั้งแต่พวกไม้คลุมดินไปจนถึงไม้พุ่ม ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เช่น หนวดปลาดุก คล้า เฟิน เขียวพันปี เขียวหมื่นปี วาสนา สาวน้อยประแป้ง พลู หน้าวัวใบ ฟิโลเดนดรอน สังกรณี พุดกุหลาบ มุจลินท์ โมก จั๋ง ไทร หมากผู้หมากเมีย สับประรดสี หนวดปลาหมึก เป็ปเปอร์โรเมีย ไผ่ฟิลิปปินส์ หางกระรอก เป็นต้น
8. ไม้รูปทรง มีทรงสวยตามธรรมชาติโดยไม่ต้องตัดแต่งจัดให้เป็นไม้ประธาน ไม้เด่นในสวนได้ หรือจัดไว้ในสวนที่ไม่ต้องการการดูแลมาก โดยมากเป็นพวกสน ปรง ปาล์ม เป็นต้น พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่กล่าวมามีหลากหลายชนิด และการเรียนรู้ว่าแต่ละชนิดชอบแสง น้ำ ดินปลูกอย่างไร จะได้จัดกลุ่มที่ชอบเหมือนกันอยู่ใกล้ ๆ กันในสวน ไม่ใช่นำไม้ร่มมาอยู่รวมกับไม้แดด หรือไม้ชอบชื้นริมน้ำมาปลูกอยู่กับไม้ที่ไม่ชอบน้ำขัง ก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ไม้ประดับ
ไม้ประดับ
ทองหลาง /ทองหลางลาย
ทองหลางเป็นไม้มงคลอีกชนิดของไทยเชื่อว่าปลูกไว้ในบ้านจะทำให้ มีทองมากมายเหมือนชื่อทองหลาง ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-10 เมตรใบใหญ่เป็นพุ่มให้ร่มเงาดอกใบช่อสีส้มปนแดงสวย ทองหลางลายใบจะเป็นลายขาว-เขียวเป็นพุ่มสวย
ต้นหูกระจง (แผ่บารมี)
ทองหลางเป็นไม้มงคลอีกชนิดของไทยเชื่อว่าปลูกไว้ในบ้านจะเป็นเป็นการเสริมบุญบารมีให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ ไม้ยืนต้นที่เป็นพุ่มสวยให้ร่มเงาอายุยืน ดอกสีขาว ควรปลูกห่างจากบ้านเพราะรากใหญ่ ชอบน้ำ ชอบแดดโตง่าย
ต้นหูกวาง
เป็นไม่ยืนต้นผลัดใบ สูง 8 -25 เมตร ใบใหญ่ใบแก่จะมีสีแดง ดอกเล็กสีขาว ไม้พุ่มให้ร่มเงา นิยมปลูกประดับบ้าน ประดับสวนกันมาก
ปาล์มหางกระรอก
ใบแหลม เป็นก้านยาวคล้ายขนนกทรงสวย เหมาะสำหรับปลูกประดับบ้านเพื่อความสวยงาม สูงประมาณ 2-4 เมตร ปลูกง่ายโตง่าย
วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วิธีการดูแลรักษาไม้ดอก
วิธีการดูแลรักษาไม้ดอก
หลังจากทำการปลูกไม้ดอกประดับลงในแปลงใหม่ ๆ ควรทำร่มบังแดดให้กับต้นกล้าที่ปลูกประมาณ 7 - 10 วัน เพื่อช่วยให้ต้นกล้านั้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น สำหรับการดูแลรักษาที่ควรปฏิบัติ คือ1. การให้น้ำ เมื่อทำการปลูกใหม่ ๆ ควรรดน้ำให้วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและตอนเย็น หรือตามความต้องการของพันธุ์ไม้ที่ปลูก เช่น บางวันลมแรง แดดจัด อากาศร้อน การคายน้ำย่อมมีมากอาจต้องมีการให้น้ำเพิ่มขึ้น สภาพของดินก็มีส่วนสำคัญต่อการให้น้ำ ดินบางชนิดอาจต้องรดน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากดินไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ ดังนั้นผู้ปลูกจึงต้องเรียนรู้ถึงความ ต้องการน้ำของพืชที่ปลูกด้วยตัวเองในระยะแรกของการปลูกซึ่งจะทำให้ทราบว่าจะต้องให้น้ำวันละกี่ครั้ง หรือ กี่วันครั้ง
2. การพรวนดิน เพื่อกำจัดวัชพืชควรทำทุก 10 วัน ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น แปลงขนาด 4 X 4 เมตร อาจใช้เสียมมือ หรือ ส้อมพรวน ค่อย ๆ พรวนดินระหว่างแถวที่ปลูกพืช แต่ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ควรใช้จอบพรวน การพรวนดินบริเวณที่มีรากฝอยจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างรากฝอยมากขึ้น แต่ต้องระวังอย่าไปตัดรากพืชโดยเฉพาะรากแก้ว เพราะจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตได้
3. การให้ปุ๋ย ถึงแม้ว่าเวลาเตรียมดินจะมีการใส่ปุ๋ยลงในแปลงแล้วก็ตามแต่ก็ควรให้ปุ๋ยที่เป็นธาตุอาหารแก่พืชเพิ่ยง เร่งในส่วนที่เราต้องการ เช่น ปุ๋ยยูเรีย เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
=
ไม้ดอก
ไม้ดอก
สำหรับผู่ที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกใบบริเวรบ้านหรือทำสวน ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ดอกมีกลิ่นหอม ไม้พุ่มบังแดดให้ร่มเงา หรือว่าจะเป็นไม้ที่ปลูกไว้เป็นแนวกั้นรั้ว หรือหาพันธุ์ไม้ไว้ตกแต่งสวนแต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะใช้พันธุ์ใหนดี วันนี้ Poolprop มีพันธ์ไม้ที่นิยมปลูกกัน ทั้งไม้มงคลต่างๆมาแนะนำ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู่ที่กำลังหาพันธุ์ไม้สวยที่เหมาะกับบ้านของคุณ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ
1. แคแสด
ไม้ประดับพุ่มสวยอีกหนึ่งชนิด สูงประมาณ 15-20 เมตร แถมดอกสีส้มสวยจึงเป็นไม้ยืนต้นที่ดอกสวยอีกชนิดหนึ่ง ชอบอยู่กลางแจ้ง แดดจัดสามารถปลูกประดับบ้าน บังแดดรอบบ้าน และยังให้สีสันสวยงามอีกด้วย และที่สำคัญเป็นต้นไม้ไม่ผลัดใบ
2. คอร์เดีย (หมันแดง)
ไม้ประดับพุ่ม ชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร ดอกมีหลายสี ทั้งสีส้ม และสีเหลืองสวยออกดอกตลอดปี ชอบอยู่กลางแจ้ง แดดจัดสามารถปลูกประดับบ้าน บังแดดหน้าบ้านก็สวยไปอีกแบบ และยังให้สีสันสวยงามอีกด้วย แต่ใบ้ร่วงเยอะหน่อยในบางช่วงต้องคอยกวาด
3. ต้นทองหลาง
ถือเป็นไม้มงคลประจำบ้านโบราณเชื่อว่าถ้าปลูกไว้จะทำให้ร่ำรวย เงินทอง และยังให้ร่มเงา ดอกสวยและช่วยให้ดินชุ่มชื้น ดอกมีสีแดง หรือสีชมพู ทนดินเค็ม ทนแล้ง และน้ำท่วม สูงประมาณ 10 - 20 เมตร ต้องการแสงแดง
4. หางนกยูง
ไม้ประดับเป็นพุ่มสีสันสดใสมีหลาย อาทิ แดง เหลือง ชมพู ส้มออกดอกดกสวยงาม แพ่กิ่งก้านเป็นวงกว้าง สูงราว 12 - 18 เมตร จะออกดอกและทิ้งใบช่วงหน้าร้อน ชอบแดดจัดปลูกง่ายทนแล้ง ไม่ตายง่าย
5. ชงโค
ชงโคไม้พุ่มให้ร่มเงา ใบคล้ายผีเสื้อ หรือรูปหัวใจเป็นไม้ที่ชอบแดด ควรปลูกในที่ได้รับแสงแดดทั้งวัน ไม้พุ่มหรือไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 15 เมตร ดอกสวยงามคงทนมีหลายสี สีชมพู สีบานเย็น หรือม่วงแดง และสีขาว มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดทั้งปี เป็นไม้มงคลเมื่อปลุกจะทำให้ผู้อาศัย พบกับความดีงามและอดทน
6. บานเย็น
บานเย็นเป็นไม้ประดับล้มลุกอายุหลายปี สูง เมตรกว่าๆที่คนนิยมปลูกมากเพราะมีหลากสีสัน มีหลายสีในต้นเดียว เช่นสีบานเย็น สีเหลือง สีขาว ชมพูและสีจะเปลี่ยนเมื่ออายุมากขึ้น และยังมีกลิ่นหอม เหตุที่ชื่อบานเย็นเพราะดอกจะบานในช่วงบ่ายๆเย็นๆ จะชอบแดดจัด ดอกบานทั่วทั้งปี
7. สายหยุด
เป็นกึ่งไม้เลื้อยเนื้อแข็งยากได้กว่า 10 เมตร สามารถตัดแต่งเป็นพุ่มใหญ่ได้ ดอกมีหลายสีทั้งสีแดง สีเหลือง เหตุที่ชื่อสายหยุดเพราะมีกลิ่นหอมจะหอมมากในตอนเช้าจะค่อยๆพอตอนสายจะไม่ค่อยมีกลิ่นใครตื่นสายอดดมกลิ่นหอมๆของดอกสายหยุดเลยที่เดียว ดอกมีลักษณะห้อยตัวลงมาออกดอกตลอดทั้งปี ต้องการแดดพอสมควรแต่ก็สามารถโตได้ในที่ร่ม
8. เหลืองปรีดียาธร
ต้นไม้ยืนต้นให้ร่มเงา และความสวยงาม ขนาดเล็กสูง 3-8เมตร ผลัดใบ ดอกสีเหลืองช่อใหญ่มากสวยดกบานทั่วทั้งต้น สวยเด่นแต่ไกลดอกร่วงบนพื้นก็สีสวยไปอีกแบบ ปลูกง่ายไม่ชอบน้ำ
ไม้ยืนต้นสูง 20 – 30 เมตรไม่พลัดใบใบหนา ให้ร่มเงาเป็นไม้มงคลอีกชนิดหนึ่งเชื่อว่าป้องกันภัยจะเป็นมงคลแก่ตัวผู้ปลูกและคนในบ้าน จะช่วยคุ้มภยันตราย และดอกมีกลิ่นหอมตอนแรกจะมีสีขาว และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต้องการแสงแดดมาก
10. พุดน้ำบุศย์
ไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงามนิยมปลูกในกระถางเป็นพุ่มเตี้ย สูง 2-3 เมตร ซึ่งดอกสีขาวนวนสวยงามมากและจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมมาก ส่งกลิ่นหอมไกล 2-3 เมตรออกดอกตลอดทั้งปี
ประวัติส่วนตัว
นางสาวกิ่งกาญจน์ กมลวัชระกุล เลขที่ 22 ม.4/12
โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541
อายุ 16 ปี
facebook : King Kamonwatcharakul
Instagram : giinggi
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
ที่มา http://www.pbps.ac.th/e_learning/combasic/profile.html
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคของคอมพิวเตอร์
ยุคของคอมพิวเตอร์
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
มาร์ค วัน
วิวัฒนาการจากเครื่อง Alaytical Engine
Alaytical Engine มีลักษณะใกล้เคียงกับส่วนประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน
แต่น่าเสียดายที่เครื่อง Alalytical Engine ของ Babbage นั้นไม่สามารถ สร้างให้สำเร็จขึ้นมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยี
สมัยนั้นไม่สามารถสร้างส่วนประกอบต่างๆ ดังกล่าว และอีกประการหนึ่งก็คือ
สมัยนั้นไม่มีความจำเป็น ต้องใช้เครื่องที่มีความสามารถสูงขนาดนั้น ดังนั้นรัฐบาล
อังกฤษจึงหยุดให้ความสนับสนุนโครงการของ Babbage ในปี พ.ศ. 2385 ทำให้ไม่มีทุนที่จะทำการวิจัยต่อไป
สืบเนื่องจากมาจากแนวความคิดของ Analytical
Engine เช่นนี้จึงทำให้ Charles Babbage ได้รับการยกย่อง ให้เป็น บิดาของเครื่องคอมพิวเตอร์
พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษ ชื่อ Lady
Auqusta Ada Byron ได้ทำการแปลเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่อง Anatical Engine จากภาษาฝรั่งเศลเป็นภาษาอังกฤษ ในระหว่างการแปลทำให้ Lady Ada เข้าใจถึงหลักการทำงาน ของเครื่อง Analytical Engine และได้เขียนรายละเอียดขั้นตอนของคำสั่งให้เครื่องนี้ทำการคำนวณที่ยุ่งยาก
ซับซ้อนไว้ในหนังสือทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง
ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์โปรแกรมแรกของโลก และจากจุดนี้จึงถือว่า Lady Ada เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก (มีภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมที่เก่แก่
อยู่หนึ่งภาษาคือภาษา Ada มาจาก ชื่อของ Lady
Ada) นอกจากนี้ Lady Ada ยังค้นพบอีกว่าชุดบัตรเจาะรู
ที่บรรจุคำสั่งไว้สามารถนำกลับมาทำงานซ้ำได้ถ้าต้องการ
นั่นคือหลักของการทำงานวนซ้ำ หรือเรียกว่า Loop เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณที่ถูกพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่
19 นั้น ทำงานกับเลขฐานสิบ (Decimal Number) แต่เมื่อเริ่มต้นของศตวรรษที่
20 ระบบคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึ้นจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้
เลขฐานสอง (Binary Number) กับระบบคอมพิวเตอร์ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากหลักของพีชคณิต
พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ George Boole ได้ใช้หลักพีชคณิตเผยแพร่กฎของ
Boolean Algebra ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายเหตุผลของตรรกวิทยาที่ตัวแปรมีค่าได้เพียง
"จริง" หรือ "เท็จ" เท่านั้น (ใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่องหมายในเชิงตรรกพื้นฐาน
คือ AND, OR และ NOT)
สิ่งที่ George Boole คิดค้นขึ้น นับว่ามีประโยชน์ต่อระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง
เนื่องจากเป็น การยากที่จะใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งมีเพี่ยง 2 สภาวะ คือ เปิด กับ
ปิด ในการแทน เลขฐานสิบซึ่งมีอยู่ถึง 10 ตัว คือ 0 ถึง 9 แต่เป็นการง่ายกว่าเราแทนด้วยเลขฐานสอง
คือ 0 กับ 1 จึงถือว่าสิ่งนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของการ
ออกแบบวงจรระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
พ.ศ. 2423 Dr. Herman Hollerith นักสถิติชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องประมวลผลทางสถิติซึ่ง ใช้กับบัตรเจาะรู
เครื่องนี้ได้รับการพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นและมาใช้งานสำรวจสำมะโนประชากร
ของสหรัฐอเมริกา ในป พ.ศ. 2433 และช่วยให้การสรุปผลสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา
2 ปีครึ่ง (โดยก่อนหน้านั้นต้องใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่ง) เรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า บัตรฮอลเลอริธ
และชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกบัตรนี้ ก็คือ บัตร ไอบีเอ็ม หรือบัตร 80 คอลัมน์ เพราะผู้ผลิตคือ บริษัท ส่วนประกอบสำคัญของ (Analytical Engine)
Babbage ทำการสร้างเครื่อง Difference Engine อยู่นั้น ได้พัฒนาความคิดไปถึง เครื่องมือในการคำนวนที่มีความสามารถสูงกว่านี้ ซึ่งก็คอืเครื่องที่เรียกว่าเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) และได้ยกเลิกโครงการสร้างเครื่อง Difference Engine ลงแล้วเริ่มต้นงานใหม่ คือ งานสร้างเครื่องวิเคราะห์ ในความคิดของเขา โดยที่เครื่องดังกล่าวประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน คือ
- ส่วนเก็บข้อมูล เป็นส่วนที่ใช้ในการเก็บข้อมูลนำเข้าและผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ
- ส่วนประมวลผล เป็นส่วนที่ใช้ในการประมวลผลทางคณิตศาสตร์
- ส่วนควบคุม เป็นส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างส่วนเก็บข้อมูล และส่วนประมวลผล
- ส่วนรับข้อมูลเข้าและแสดงผลลัพธ์ เป็นส่วนที่ใช้รับทราบข้อมูลจากภายนอกเครื่องเข้าสู่ส่วนเก็บ และแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณให้ผู้ใช้ได้รับทราบ
คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรก
คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรก ได้แก่ เครื่องจักรกลหรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้นเพื่อช่วยในการ คำนวณ โดยที่ยังไม่มีการ นำวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมด้วย ลำดับเครื่องมือขึ้นมามีดังนี้
ในระยะ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด
ต่อมาประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการ คำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ซึ่งถือได้ว่า เป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคงยังใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2158 นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ใช้ ช่วยการคำนวณขึ้นมา เรียกว่า Napier's Bones เป็นอุปกรณ์ที่ลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน เครื่องมือชนิดนี้ช่วยให้ สามารถ ทำการคูณและหาร ได้ง่ายเหมือนกับทำการบวก หรือลบโดยตรง
พ.ศ 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศลชื่อ Blaise Pascal ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 19 ปี ได้ออกแบบ เครื่องมือในการคำนวณโดย ใช้หลักการหมุนของฟันเฟืองหนึ่งอันถูกหมุนครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีกอันหนึ่งซึ่งอยู่ ทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เครื่องมือของปาสคาลนี้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน เมื่อ พ.ศ. 2188 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากราคาแพง และเมื่อใช้งานจริงจะเกิดเหตุการณ์ที่ฟันเฟืองติดขัดบ่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยถูกต้องตรงความเป็นจริง
เครื่องมือของปาสคาล สามารถใช้ได้ดีในการคำนวณการบวกและลบ ส่วนการคูณและหารยังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นในปี พ.ศ. 2216 นักปราชญษชาวเยอรมันชื่อ Gottfriend von Leibnitz ได้ปรับปรุงเครื่งคำนวณของ ปาสคาลให้สามารถทหการคูณและหารได้โดยตรง โดยที่การคูณใช้หลักการบวกกันหลายๆ ครั้ง และการหาร ก็คือการลบกันหลายๆ ครั้ง แต่เครื่องมือของ Leibnitz ยังคงอาศัยการหมุนวงล้อ ของเครื่องเองอัตโนมัติ นับว่า เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ดูยุ่งยากกลับเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
พ.ศ. 2344 นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศลชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าโดยใช้ บัตรเจาะรูในการบันทึกคำสั่ง ควบคุมเครื่องทอผ้าให้ทำตามแบบที่กำหนดไว้ และแบบดังกล่าวสามารถนำมา สร้างซ้ำๆ ได้อีกหลายครั้ง ความพยายามของ Jacquard สำเร็จลงใน พ.ศ. 2348 เครื่องทอผ้านี้ถือว่าเป็น เครื่องทำงานตามโปรแกรมคำสั่งเป็นเครื่องแรก
พ.ศ. 2373 Chales Babbage ถือกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2334 จบการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และได้รับตำแหน่ง Lucasian Professor ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ Isaac Newton เคยได้รับมาก่อน ในขณะที่กำลังศึกษาอยู่นั้น Babbage ได้สร้างเครื่อง หาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้คำนวณ และพิมพ์ตารางทางคณิศาสตร์อย่างอัตโนมัติ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2373 เขาได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสร้างเครื่อง Difference Engine ขึ้นมาจริงๆ
เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์
เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์
เครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลก ได้แก่ ลูกคิด มีการใช้ลูกคิดในหมู่ชาวจีนมากกว่า 7000 ปี และใช้ในอียิปต์โบราณมากกว่า 2500 ปี ลูกคิดของชาวจีนประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็นครึ่งบนและล่าง ครึ่งบนมีลูกปัด 2 ลูก ครึ่งล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถวแทนหลักของตัวเลข
เครื่องคำนวณกลไกที่รู้จักกันดี ได้แก่ เครื่องคำนวณของปาสคาลเป็นเครื่องที่บวกลบด้วยกลไกเฟืองที่ขบต่อกัน เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสาตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2185
จากอดีตสู่ปัจจุบัน
จากอดีตสู่ปัจจุบัน
พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางด้าน คอมพิวเตอร์ เมื่อ 50 ปีที่แล้วมา
มีคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้งาน ต่อมาเกิดระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย
และมีแนวโน้มการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราสามารถแบ่งพัฒนาการคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน
สามารถแบ่งเป็นยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์
และยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์
ประวัติของคอมพิวเตอร์
- ประวัติของคอมพิวเตอร์ความหมายของคอมพิวเตอร์หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูง อย่างต่อเนื่อง และอัตโนมัติ
- พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ - การจำแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
- 1. แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer) เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคำนวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าแทน ไม้บรรทัดคำนวณ อาจถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค่าตัวเลขตามแนวความยาวไม้บรรทัดเป็นหลักของการคำนวณ โดยไม้บรรทัดคำนวณจะมีขีดตัวเลขกำกับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลายอันมรประกบรวมกัน การคำนวณผล เช่น การคูณ จะเป็นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งไปตรงตามตัวเลขของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชุดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณของขีดตัวเลขอีกชุดหนึ่งแอนะล็อกคอมพิวเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำนองเดียวกัน โดยแรงดันไฟฟ้าจะแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด
- แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำหน้าที่เป็นตัวกระทำและเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่อยู่ในรูปของสมการคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสั่งสะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว ข้อมูลตัวแปรนำเข้าอาจเป็นอุณหภูมิความเร็วหรือความดันอากาศ ซึ่งจะต้องแปลงให้เป็นค่าแรงดันไฟฟ้า เพื่อนำเข้าแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้าแปรกับเวลาซึ่งต้องแปลงกลับไปเป็นค่าของตัวแปรที่กำลังศึกษา
- ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น
- 2. ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer) คอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบัน จัดเป็นดิจิทัลคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข มีหลักการคำนวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคำนวณ แต่เป็นแบบลูกคิด โดยแต่และหลักของลูกคิดคือ หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นระบบเลขฐานสินที่แทนตัวเลขจากศูนย์ถ้าเก้าไปสิบตัวตามระบบตัวเลขที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
- ค่าตัวเลขของการคำนวณในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะแสดงเป็นหลักเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขเพียงสองตัว คือเลขศูนย์กับเลขหนึ่งเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ตัวเลขทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกัน การคำนวณภายในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะเป็นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด ดังนั้นเลขฐานสิบที่เราใช้และคุ้นเคยจะถูกแปลงไปเป็นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำนวณภายในคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเลขฐานสองอยู่ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)






























