Text Select - Hello Kitty

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชนิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ชนิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ประเภทของเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ผสม
แบ่งได้หลายประเภทได้แก่
แบ่งตามกรรมวิธีในการผลิต
สุราแช่หรือสุราหมัก(Fermentation) คือ สุราที่ได้จากการหมักวัตถุดิบ กับราและ/หรือยีสต์ ไม่ได้กลั่นและรวมถึงสุราแช่ที่ได้ผสมกับสุรากลั่นแล้ว แต่ยังมีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี เช่น ไวน์ แชมเปญ สาโท อุ กระแช่ น้ำตาลเมา สาเก ไวน์คูลเลอร์ สปาร์คกลิ้งไวน์ เบียร์ เป็นต้น
สุรากลั่น(Distillation) คือ การนำเอาสุราแช่มากลั่น เพื่อให้ได้แอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น และรวมถึงสุรากลั่นที่ผสมกับสุราแช่แล้ว แต่มีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 15 ดีกรี เช่น วิสกี้ บรั่นดี คอนยัค วอดก้า จิน รัม ตากีล่า เหล้าขาว ลิเคียว  เป็นต้น
แบ่งด้วยขั้นตอนในการเตรียมการก่อนดื่ม
เครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทันที(Ready to Drink) ไม่ต้องมีขั้นตอนในการปรุงหรือผสมอีก ได้แก่ ไวน์ บรั่นดี คอนยัค เบียร์ เครื่องดื่ม RTD (เช่น บาคาร์ดี้  สปาย) รวมทั้งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ อื่นๆด้วย
เครื่องดื่มที่มีการเตรียมการก่อนดื่ม(Prepared Beverage) คือเครื่องดื่มที่ต้องมีการปรุงหรือผสมกอนดื่ม เช่น วิสกี้ ค็อกเทล
แบ่งตามช่วงเวลาของมื้ออาหาร เนื่องจากชาวตะวันตกนิยมดื่มขณะรับประทานอาหาร
เคร่องดื่มก่อนอาหาร (Aperitif) ใช้ดื่มเพื่อดับกระหายหรือเรียกน้ำย่อย
ไวน์ ใช้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารแต่ละจาน
เครื่องดื่มหลังอาหาร(Digestif) มักเป็นเครื่องดื่มหรือเหล้าที่มีรสหวาน เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
สุราที่ใช้กันโดยทั่วไปในการนำมาผสมเป็นเครื่องดื่มค็อกเทล มี 5 ประเภท ดังนี้
แอพเพอริทิฟ (Aperitif) คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหาร เป็นเครื่องดื่มเก่าแก่จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา นิยมมากในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี ทำจากเหล้า เหล้าองุ่น สมุนไพร และเครื่องเทศ แบ่งเป็น 3 ชนิด
เวอร์มุท (Vermouth) เป็นเหล้ายาทำจากรากไม้และเครื่องเทศ มีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันออกไป รสชาติของเวอร์มุทคล้ายกับยาบำรุงเลือดของไทย เวอร์มุทเป็นสุราหมักชนิดหนึ่ง บางครั้งเราอาจจะจัดอยู่ในประเภทไวน์เจริญอาหารก็ได้ ฉะนั้น เวอร์มุทจึงเป็นสุราที่ทำมาจากองุ่น (ไวน์) และได้ผ่านการปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยพืชสมุนไพร เครื่องเทศ  เราสามารถเรียกอีกอย่างว่า อโรมาติก ไวน์ (Aromatic Wine-ไวน์ที่มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ)  หรือ แอปเพอร์ริทิฟ ไวน์ (Aperitif Wine-ไวน์เจริญอาหาร) ก็ได้เพราะเป็นสุราที่ทำมาจากเหล้าองุ่นถึง 75%

ต้นกำเนิดของ เวอร์มุท มาจากประเทศ อิตาลี (Italy)  นอกจากอิตาลีแล้ว ฝรั่งเศสก็เป็นอีกประเทศที่ผลิตเวอร์มุทอย่างแพร่หลาย ไม่มีข้อแตกต่างของเวอร์มุทที่ทำในฝรั่งเศสและอิตาลี เพียงแต่มีข้อเด่นคือ ฝรั่งเศส เชี่ยวชาญการผลิตเวอร์มุทแบบดรายและสีใส (Dry White)  ส่วนอิตาลีเด่นในทางผลิตเวอร์มุทแบบหวานและสีแดง (Sweet Red) การทำเวอร์มุทค่อนข้างยุ่งยาก ส่วนสำคัญคือ เหล้าองุ่น โดยทั่วไปใช้ องุ่นขาวที่ไม่มีรสชาติ (ไม่ใช่เสีย) Vermouth มีหลายยี่ห้อ เช่นMartini, Cinzano,Barbero,Dubonet,Pimm’s No.1 เป็นต้น ลักษณะงานที่ใช้ต่างกัน

 
บิตเตอร์ (Bitter) เป็นเหล้ายาที่มีรสขม ชาวยุโรปนิยมดื่มแก้โรคกระเพาะ ซึ่งชาวยุโรปเชื่อว่า Bitter จะช่วยย่อยอาหารได้ Bitterบางชนิดมีรสขมมาก บางชนิดขมอมหวาน เช่น Campari,Fernet Branca,Branca Menta,Angostura Bitter
คำอธิบาย: http://www.chaopraya.biz/images/column_1256898240/Bitter.gif
อนิซ (Anis) เป็นเหล้ายาสีเหลืองใสทำจากเมล็ดของ Anis กลิ่นหอมเย็นๆนิยมดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น Pernod,Ricard,Pastis เป็นเหล้าที่มีดีกรีสูงที่สุดในบรรดาเหล้าด้วยกัน
เหล้าแอพเพอริทิฟ นอกจากนิยมดื่มเพื่อเป็นยาแล้วยังนิยมนำไปทำเครื่องดื่มผสมอื่นๆอีกมากมายโดยเฉพาะ Knock Out เป็นเมนูที่มีชื่อเสียงรู้จักกันทั่วโลก

 
สปิริต (Spirit) คือ สุราที่ได้จากการกลั่น ทั้งหมด ได้แก่
บรั่นดี (Brandy) เป็นเหล้าที่นิยมดื่มกันมาก เกิดจากการหมักองุ่นให้เป็นไวน์ (Wine) แล้วจึงนำมากลั่นเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปเก็บบ่มให้ได้ สี กลิ่น รส ที่ดี บรั่นดี ที่มี ขายตามท้องตลาดทั่วๆไป แบ่งเป็น 3 ประเภท
Domestic Brandy (บรั่นดีพื้นเมือง) คือบรั่นดีที่ผลิตจากองุ่นแล้วนำมากลั่นเป็นบรั่นดีอีกที เช่น Regency Brandy , German Brandy
Premium Brandy (บรั่นดีเกรดสูง) เป็นบรั่นดีราคาแพงที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กนานๆ โดยระบุคุณภาพเป็นอักษรย่อ หรือชื่อพิเศษ เช่น คอนยัค (Cognac) อาร์มายัค (Armagnac)
Fruit Brandy (บรั่นดีผลไม้) คือบรั่นดีที่ทำจากผลไม้อื่นๆที่ไม่ใช่ผลองุ่นซึ่งจะให้กลิ่นรสแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 2 ชนิด
White Fruit Brandy (บรั่นดีผลไม้สีขาว) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ โดยไม่ต้องบ่มในถังไม้ จะได้กลิ่นหอม และรสของผลไม้นั้นๆนิยมแช่ให้เย็นแล้วดื่มโดยไม่ผสม หรือจะนำไปผสมในค็อกเทลต่างๆก็ได้
Colour Fruit Brandy (บรั่นดีผลไม้ที่มีสี) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ แล้วนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ผลไม้ที่นำมากลั่นเช่น
แอปเปิ้ล เรียกว่า Apple Brandy,Calvados,”Apple Jack
เชอร์รี่ เรียกว่า Kirschwasser,Kirsch
พลัมเรียกว่า Slivovits,Prunelle,Quetsch
แพร์เรียกว่า Poire William
ราสเบอร์รี่เรียกว่า Flamboise
นอกจากนี้ยังสามารถทำจากผลไม้อื่นๆอีกมากมายซึ่งอาจเรียกบรั่นดีผลไม้ประเภทนี้ว่า “Eau-de-Vie”

V = Veryคุณภาพและอายุของบรั่นดีและคอนยัค จะบ่งบอกโดยอักษรย่อดังนี้
S = Superior
O = Old
P = Pale
E = Especial
F = Fine
X = Extra
ถ้านำอักษรย่อมารวมกันจะมีความหมายดังนี้
X.O. = Extra Old หรือ  V.V.S.O.P. = Very very Superior Old Pale ซึ่งแสดงว่า มีการเก็บบ่มเป็นเวลา 20-40 ปี
V.O. = Very Old หรือ V.S.O.P. = Very Superior Old Pale แสดงว่ามีการหมักบ่มเป็นเวลา 12-20 ปี 
V.S. = Very Superior แสดงว่ามีการหมักบ่มเป็นเวลา 5-9 ปี
วิสกี้ (Whisky,Whiskey) คือสุรากลั่นที่ทำจากข้าวหรือข้าวข้าวโพดหรือ Grain ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดก็ได้โดยนำมาหมักแล้วกลั่นให้มีดีกรีสูงขึ้น จากนั้นนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเพื่อให้ได้สี กลิ่น รสที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะนำมาบรรจุขวด บางชนิดยังนำไปปรุงแต่ง สี กลิ่น รสอีกครั้ง เพื่อให้ได้มาตรฐานตามความนิยมของผู้บริโภค วิสกี้ที่นิยมมาก นอกจากวิสกี้ของท้องถิ่นแล้ว วิสกี้จากต่างประเทศที่นิยมกันมากก็มี Scotch Whisky, Irish Whisky, American Whisky, Canadian Whisky ซึ่งจะมีเอกลักษณ์ในด้าน กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป
วิสกี้มี้นตอนการผลิต 5 ขั้นตอน คือ วิสกี้โดยทั่วไปแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
สก๊อตวิสกี้ (Scotch Whisky) คือวิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "สก๊อตแลนด์"
เบอร์เบิ้นวิสกี้ (Bourbon Whiskey) คือวิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "อเมริกา" 
ไอริชวิสกี้ (Irish Whiskey) คือวิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "ไอร์แลนด์"
แคนาเดียนวิสกี้ (Canadian Whisky) คือวิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "แคนาดา"
วิสกี้ที่ผลิตในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากข้อกล่าวข้างต้นเช่น  อังกฤษ, ญี่ปุ่น, จีน, ไทย  เป็นต้น

ยิน (Gin) เป็นเหล้าสีขาว ที่มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ ทำมาจากการ กลั่นข้าวหรือ Grain และผสมกลิ่นรสชาติของสมุนไพร และผลจูนิเปอร์ เป็นที่นิยมกันมากในฮอลันดา สมัยก่อนจึงเรียกจินว่า “Dutch Courage”และได้รับการเปลี่ยนชื่อให้เรียกสั้นๆว่า Gin

ยินเป็นสุราอีกชนิดหนึ่งที่ได้จากการกลั่นของการหมักของกากน้ำตาล, เมล็ดธัญญพืช  (ซึ่งก็มี เมล็ดข้าวโพด, เมล็ดข้าวบาร์เล่ย์, เมล็ดข้าวไรย์ และเมล็ดข้าวอื่นๆ)  ยินเป็นสุราขาว (ใสไม่มีสี) ที่มีความลงตัวระหว่างความ ดราย (Dry) หรือ ไม่หวาน และกลิ่นรสสดชื่นของผลจูนิเปอร์ สมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ  ซึ่งทำให้ยินแตกต่างจากสุราทั่วไป ปัจจุบันผลิตกันในหลายๆประเทศ กลิ่นและรสชาติก็แตกต่างกันไปเพราะมีเปลี่ยน แปลงทั้งวิธีการผลิตและส่วนผสม ยินที่ผลิตจากประเทศฮอลันดา รสจะเข้มข้นมาก นิยมดื่มโดยไม่ผสม แต่ควรแช่ให้เย็นจัดจินจากอังกฤษและอเมริกา นิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มผสม ที่รู้จักกันแพร่หลายเช่น Gin Tonic ,Orange Blossom ,Tom Collins, Martini

ยินที่รู้จักกันดีในประเทศไทยเช่น Bombay, Sapphire, Beefeater, Gordon, Gilbey’s ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้คำว่า London Dry Gin

สำหรับประเทศไทย เหล้าที่มีกลิ่นคล้ายเหล้ายินต่างประเทศ ที่เกิดขึ้นรายแรกคือ อังเคิล ทอม จี (Uncle Tom-G) คุณสมบัติไม่แพ้ยิน อเมริกา หรือ อังกฤษ ข้อดีอีกข้อก็คือ ราคา ซึ่งเป็นจุดแข็ง ของสินค้าทำให้เหมาะสม ในการนำมาปรุงเป็นค็อกเทล
รัม (Rum)  จัดเป็นประเภท Spirit เป็นเหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล ผลิตมากตามหมู่เกาะฝั่งทะเลคาร์ลิเบียน ซึ่งปลูกอ้อยกันมาก ผลิตและจำหน่ายหลายประเทศ เช่น Puerto Rican สีClear, Jamaica จะเป็นสีDark, Cuban จะเป็นสี Light, Gold, Dark เป็นต้น 
White Rum หรือ Light Rum (รัมสีขาว) ในขบวนการผลิตค็อกเทลจะเรียกWhite ว่า Clear เป็นรัมที่มีสีใส
Silver Rum  คือรัมชนิดต้องเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้กลิ่นรสดีขึ้น  เหมาะสำหรับนำไปผสมค็อกเทลที่ไม่ต้องให้สีเปลี่ยน
Gold Rum (รัมสีทอง) เป็นรัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาล เป็นสีเหลืองทอง เพื่อให้ได้เหล้ารัมที่มีกลิ่นสี รสชาติมากขึ้นกว่าเดิม
ดาร์ค รัม (Dark Rum) รัมสีดำเป็นรัมที่มีสีเกือบดำ ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมล ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาล จนเป็นสีดำเกือบไหม้ จะได้กลิ่นและรสชาติมากขึ้น
เหล้ารัม นิยมนำไปผสมเป็นค็อกเทลมาก ที่รู้จักกันมากคือ Rum Coke หรือ Cuba Libre นอกจากนี้ยังนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆเช่น น้ำผลไม้ต่างๆโดยเฉพาะที่เรียกว่า Punch จะเป็นเครื่องดื่มที่เข้ากันได้ดีมากกับรัม เหล้ารัมที่จำหน่ายจะมีดีกรีราว 40 ดีกรี แต่มีหลายชนิดผลิตให้มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี หรือที่เขียนว่า 151 Proof เพื่อให้เครื่องดื่มผสมมีความแรงเพิ่มขึ้น

บ้านเราก็มี เหล้ารัม กันมานานแล้ว แต่ผู้บริโภคส่วนมากไม่รู้จักว่าเหล้ารัมคืดเหล้าประเภทไหน ทำมาจากอะไร ยังแยกแยะกันไม่ออก ตัวอย่างเหล้ารัมบ้านเราคือ แม่โขง แสงโสม หงษ์ทอง ซึ่งจัดเป็น ดาร์ค รัม (Dark Rum) ส่วนไวท์ รัม (White Rum) ก็คือ เหล้าขาว ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วๆไป

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเหล้าที่มีกลิ่น และคุณภาพ คล้าย ไวท์ รัม (White Rum) ของต่างประเทศก็คือ อังเคิลทอม อาร์ (Uncle Tom-R)

เรื่องราวของรัม (Rum) เกิดขึ้นจาก การผจญภัยของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส  ภายหลังจากที่เขาได้เดินทางไปยังหมู่เกาะต่างๆ แล้วนำต้นอ้อย มาทดลองปลูกในหมู่เกาะ เวสต์ อินดีส (West Indies) หรือหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเป็นผลสำเร็จ ที่จริงแล้ว ในระยะต้นนี้ จุดประสงค์หลักของการปลูกอ้อยก็คือเพื่อนำไปผลิตน้ำตาล  อย่างไรก็ตาม ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลก็คือกากน้ำตาลจากอ้อย ซึ่งเราเรียกอีกอย่างได้ว่า มอลลาส (Molasses) นั้น ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป แต่ก็มีผู้สังเกตุเห็นว่า กากน้ำตาลเหล่านี้ เกิดการหมักตัวเองขึ้นตามธรรมชาติ  จึงได้มีการทดลองนำกากน้ำตาลมาผลิตสุราดูบ้าง  ซึ่งก็ได้ผลดี และเราเรียกสุราชนิดนี้ว่า รัมเบลเลียน ” (Rumbellion) หรือ รัม ” (Rum) แหล่งที่ทำการผลิตเหล้ารัม อยู่ในแถบหมู่เกาะคาริบเบียน (Caribbean), อินโดนีเซีย (Indonesia), อินเดีย (India) และ อเมริกา (America) แต่รัมที่มีชื่อเสียงมาก  ส่วนใหญ่จะมาจากทางแถบหมู่เกาะคาริบเบียน ซึ่งเป็นหมู่เกาะทางอเมริกาใต้ เช่น บาบาโด๊ส (Barbados), จาไมก้า (Jamaica)

วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตรัม คือ น้ำตาลจากอ้อย (Sugar Cane) และ กากน้ำตาลจากอ้อย (มอลลาส)  เสน่ห์ของรัมอยู่ที่กลิ่นหอมของน้ำตาลอ้อยที่เจือจางอยู่ในน้ำรัม ซึ่งผู้ผลิตจะต้องใช้ความละเอียดอ่อน ในการผลิตเพื่อเก็บรักษาคุณสมบัตินี้ไว้ให้ดีที่สุด  และปริมาณแอลกอฮอล์ของเหล้ารัม จะอยู่ที่ 40 ดีกรี

 
 
วอดก้า (Vodka) คำว่า “Vodka” หรือ Wodka” มาจากภาษารัสเซียคือ “Zhiznennia Voda” แปลว่า “Water of Life” บ้างก็แปลว่า “Little Water” วอดก้าเป็นที่ยอมรับของชาวอเมริการาวประมาณปี ค.ศ. 1946 วอดก้าเป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40-60 สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมาก เป็นเหล้าที่หมักจากข้าว หรือมันฝรั่งและอ้อยแล้วแต่วัตถุดิบของผู้ผลิตประเทศนั้นๆ  ผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปนและกลิ่นน้อยที่สุด วอดก้าของรัสเซีย หรือโปแลนด์บางชนิดนิยมแช่สมุนไพร หรือเครื่องเทศเพื่อให้เป็นเหล้ายา แต่ไม่ค่อยพบในท้องตลาดบ้านเรา
คำว่า “It will leave you breathless”ที่ชาวยุโรปพูดกันจนชิน คือ เมื่อดื่มวอดก้า  แล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ ค็อกเทลที่ผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Screw Driver, Bloody Mary, Vodka Martini,Salty Dog’s เป็นต้น ส่วนเหล้าวอดก้าที่เรารู้จักกันดีในประเทศไทย คือ Borzoi , Smirnoff, Stolighinaya, Ursus, Skyy,
  ปัจจุบัน วอดก้าสามารถผลิตกันได้ทั่วทุกมุมโลก แม้กระทั่งประเทศไทยเอง ก็สามารถผลิตได้เหมือนมากจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ อังเคิล ทอม วี (Uncle Tom-V)และอังเคิล ทอม เบอร์ 9(Uncle Tom No.9)
  วอดก้า มีต้นกำเนิดในแถบยุโรปตะวันออก  โดยเฉพาะ รัสเซีย (Russia) และ   โปแลนด์ (Poland) ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น  ผู้คนแสวงหาเครื่องดื่มที่จะช่วยให้พวกเขาต่อสู้กับความหนาวเย็นได้  วอดก้า เป็น นิวโทรล์ สปิริต (Neutral Spirt) คือ สุราที่มีความเป็นกลาง กล่าวคือ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และ ไม่มีรส  แต่วอดก้าราคาถูกอาจมีรสขมติดปลายลิ้น หรืออาจ  มีกลิ่นของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หลงเหลืออยู่

วัตถุดิบในการผลิตของวอดก้านั้น มีหลากหลายชนิด นับตั้งแต่ มันฝรั่ง (Potato), เมล็ดข้าว (Grain) เช่น เมล็ดข้าวโพด (Corn) และเมล็ดข้าวสาลี (Wheat)  แต่ส่วนมากจะ ใช้ธัญญพืช ในการผลิต สำหรับประเทศที่มีการผลิตวอดก้านี้ ไม่ใช่จะมีแต่ประเทศรัสเซียเท่านั้น แต่ยังมีประเทศอื่นอีกที่มีการผลิตเหล้าชนิดนี้ เช่น ประเทศอเมริกา(America) และประเทศโปแลนด์ (Poland) เป็นต้น
  ถ้าดูจากกฏหมายที่ระบุความเป็นเหล้าวอดก้าแล้วอาจจะไม่นึกอยากดื่มด้วยซ้ำเพราะ วอดก้าจะต้องไม่มีบุคลิก, ไม่มีสีไม่มีกลิ่น, ไม่มีรส แต่ทว่าเอกลักษณ์อันนี้ทำให้วอดก้าเป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ช่วยเน้นรสชาติของสิ่งที่ผสมลงไปทำให้เกิดความหอมหวานยิ่งขึ้น และใช้ผสมกับสุราอื่นๆได้ทุกชนิด นอกจากนี้   วอดก้ายังได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อดื่มแล้ว จะทำให้เกิดอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นได้น้อยที่สุดในบรรดาสุราทุกชนิด

ตากีล่า (Tequila) ตากีล่า เป็นเหล้าสีขาวกลิ่นแรง หมักจากพืชที่เรียกว่า Mezcal ผลิตในประเทศเม็กซิโก ปกติตากีล่าจะมีสีขาว แต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้ ปกติชาวพื้นเมืองเม็กซิโก นิยมดื่มเหล้าตากีล่าโดยไม่ผสม ในแถบบ้านเรา(ประเทศไทย) มักจะนิยมใส่แก้ว Shot ก้นหนาๆ เพื่อนำไปกระแทกกับโต๊ะพื้นไม้ หรือ โฟเมก้าให้มีเสียงดังๆก่อนดื่ม และจะหยิบเกลือใส่ปากก่อนแล้วบีบมะนาวตาม จากนั้นก็จะยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เพื่อให้รสชาติของเหล้าคลุกเคล้ากับเกลือ และมะนาวในปาก ในปัจจุบันนิยมนำตากีล่ามาทำเป็นค็อกเทลกันมากขึ้นเช่น Tequila Sunrise, Margarita ,Matador เป็นต้น เหล้าตากีล่าที่รู้จักกันดีในประเทศไทยคือ El-Toro,Sirra

เตกิล่า (Tequila) เป็นสุราเม็ซคัล (Mezcal) คือสุราพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก (Mexico) ชาวเม็กซิกัน (Maxican)   รู้จัก

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากต้น " อากาเว่ " (Agave’)  หรือ พืชตระกูลป่าน ที่มีลักษณะแกนกลางของลำต้นอวบใหญ่ เต็มไปด้วยแป้ง  ใบสีเขียวเข้ม มาตั้งแต่ ค.ศ. 250-300  ต่อมาชาวสเปนในเม็กซิโกเริ่มเรียนรู้ว่า มีอากาเว่บางพันธุ์เท่านั้นที่สามารถนำมาผลิตสุราคุณภาพดี  สุราที่ผลิตจากอากาเว่นี้ เรียกกันว่า "อา-กวาร์เดนเต้ เดอ อากาเว่" (Aguardiente de agave’) นับจนถึงสมัยศตวรรษที่ 19 สุราชนิดนี้เปลี่ยนเป็นมีชื่อเรียกตามถิ่นกำเนิด คือเตกิล่า (Tequila) ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่ผลิตสุรา  ส่วนต้นบลูอากาเว่ (Blue Agave’) นั้น เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เตกิล่า จะต้องใช้เวลาปลูกนาน 8 – 12 ปี ถึงจะนำมาใช้ผลิตเตกิล่าได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการบำรุงไม่ดีพอ จะทำให้ใช้เวลาปลูกนานกว่านั้น ถึงจะใช้ผลผลิตได้
เตกิล่าสีขาว (ซิลเวอร์-Silver) เมื่อกลั่นเสร็จแล้วจะต้องนำไปผสมน้ำให้เจือจางเพื่อให้ได้ปริมาณ   แอลกอฮอล์ตามต้องการและพักไว้ 15-20 วันจึงจะบรรจุขวดได้
เตกิล่าไม่จำเป็นต้องเก็บบ่ม แต่ก็มีหลายยี่ห้อที่ทำการเก็บบ่มเพื่อให้รสชาตินุ่มนวลขึ้น เราจึงพบว่ามีเตกิล่า หลายชนิด   ในท้องตลาด ได้แก่
เตกิล่าสีทอง (โกล์ด-Gold) สีทองของเตกิล่าได้จากสีของถังไม้ที่เก็บบ่มเช่นเดียวกับวิสกี้หรือคอนยัค ทำให้รสชาตินุ่มนวลขึ้น ตามมาตรฐานของรัฐบาลเม็กซิกันนั้น การเก็บบ่มเตกิล่าสีทองจะต้องบ่มอย่างน้อย 2 เดือนไปจนถึง 6 เดือน แล้วจะได้เตกิล่า ที่มีสีทองอ่อนๆ เตกิล่าชนิดนี้ ภาษาเม็กซิกัน เรียกว่า รีโพซาโด เตกิล่า” (Reposado Tequila)
เตกิล่า อันเยย-โฮ (Anejo) เป็นเตกิล่าสีทอง ที่มีการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ค นานอย่างน้อย 1 ปี  จะให้รสชาตินุ่มนวล ซึ่งได้มาจากการหมักบ่มที่ได้ที่ และเป็นชนิดที่มีราคาแพงที่สุด
วิธีดื่มเตกิล่า (Tequila)
ดื่มแบบ ช๊อต” (Shot) คือดื่มเพียวๆ ในแก้วเล็กทรงสูง
ดื่มเพียวๆ เป็นช๊อต ตามด้วยน้ำส้มคั้นที่ปรุงด้วยเครื่องเทศ
ชูทเตอร์ส (Shooters) คือ เลียเกลือที่ทาไว้ที่มือ แล้วดื่มเตกิล่า ตามด้วยมะนาวสดชิ้นเล็กๆ (ซึ่งวิธีนี้ เป็นวิธีที่นิยมที่สุดในการดื่มเตกิล่า)
นำมาผสมค็อกเทล เช่น
มาการิตต้า (Margarita)  ผสมโดยใช้เตกิล่ากับลิเคียว รสส้ม (เช่นแกรนด์มาเนียร์ หรือ ทริปเปอร์ เซ็ค) และ   เติมน้ำมะนาว  เขย่ากับน้ำแข็ง  เสริฟในแก้วค็อกเทล   ที่ทาเกลือไว้ที่ขอบแก้ว 356, 359 แก้วมาการิตต้า
สแลมเมอร์ (Slammers) บางทีเรียก ป๊อบ หรือ ป๊อบเปอร์” (Pop, Poper)  โดยการใช้ โฮเซ่ คูวโว่ โกล์ด ½ ช๊อต (แก้วช๊อต) แล้วเติมด้วย เซเว่น อัพ หรือ สไปร์ท ในสัดส่วนที่น้อยกว่า ปิดปากแก้วด้วย ผ้ารองแก้ว หรือ  กระดาษรองแก้ว (หรือที่เราเรียกว่า โคลส์เตอร์-Coaster) ยกเสริฟโดยใช้แก้วกระแทกไปกับโต๊ะ ทำให้เกิดฟองฟู่ขึ้น แล้วดื่มทันที
ลิเคียว Liqueur or Cordial (เหล้าหวาน) Liqueur and Cordial มีความหมายคล้ายกัน ส่วนใหญ่คำว่าLiqueur มักจะหมายถึงเหล้าหวานของประเทศแถบยุโรป ส่วน Cordial หมายถึงเหล้าหวานของประเทศสหรัฐอเมริกา Cor หมายถึง Heart เหล้าหวาน เป็นการผสมสุราชนิดใดก็ได้กับความหวาน และเพิ่มสี กลิ่น และรสลงไปด้วย โดยจะใช้สี กลิ่น รสของผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ หรือแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของผลไม้ก็ได้ จะเห็นว่าเหล้าหวานมีสีต่างๆมากมาย อาจดื่มเปล่าๆ หรือ เพียวๆหรือแบบผสมน้ำแข็ง หรือจะนำไปผสมค็อกเทลให้มีสีสวยงาม เป็นกลวิธีในการเลือกดื่มเหล้าหวานจะเน้นรสชาติเป็นส่วนใหญ่

คำว่า "ลิเคียว" หมายถึงเหล้าหวาน เป็นเหล้าที่ผลิตได้จากการนำเอาเหล้า (Spirit) ชนิดต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้บรั่นดี  แล้วมีการเติมสิ่งที่ให้กลิ่น (Flavoring) เช่น ผลไม้, เมล็ดของผลไม้, สมุนไพร, รากไม้หรือเครื่องเทศต่างๆ และมีการเพิ่มความหวานให้มากขึ้นโดยอาจจะเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม การเติมความหวานจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของลิเคียวซึ่งส่วนมาก จะมีความหวานตั้งแต่  30 บริ๊กซ์ ขึ้นไป

เหล้าลิเคียวแบ่งได้เป็นชนิดหลักๆ ดังนี้คือ
ฟรุตลิเคียว (Fruit Liqueur) หรือลิเคียวผสมกลิ่นผลไม้ เป็นเหล้าหวานที่ผลิตได้มาจากการนำเอาแอลกอฮอล์ มาเติมกลิ่นโดยใช้ผลไม้ต่างๆ เช่น แอปริคอท (Apricot), ลูกพีช (Peach), ลูกเชอร์รี่ (Cherry) และส้ม (Orange) เป็นต้น
ฟรุตลิเคียวที่มีขายในตลาดเมืองไทยและเป็นที่นิยม เช่น แกรนด์ มาเนียร์ (Grand Marnier), คอนโทร์ (Cointreau),   คาลัวร์ (Kahlua), มาลิบู (Malibu) และทริปเปอร์ เซค (Triple Sec) เป็นต้น

แพลนต์, เฮิรบ์ ลิเคียว (Plan, Herb Liqueur) หรือลิเคียวผสมกลิ่นเครื่องเทศ, สมุนไพร เป็นเหล้าอีกชนิดหนึ่งที่มีการผลิตเช่นเดียวกับฟรุตลิเคียว ลิเคียวชนิดนี้การผลิต ส่วนใหญ่จะมีการเติมสีสังเคราะห์ลงไปเพื่อได้สีตามต้องการ แพลนต์ลิเคียวที่มีขายในตลาดเมืองไทยและเป็นที่นิยม เช่น ดรัมบุย (Drambuie), และเบเนดิคทีน ดอม (Benedictine D.O.M) เป็นต้น
ครีมลิเคียว (Cream Liqueur) หรือลิเคียวที่มีส่วนผสมของครีมเป็นหลัก  เป็นลิเคียวอีกชนิดที่มีการผลิตเฉพาะ   ตัวมันเองเป็นพิเศษ (Spcial Style) ซึ่งส่วนผสมหลักๆจะเป็น แอลกอฮอล์ กับ ครีม (หรือนม) นั่นเอง ครีมลิเคียวที่มีขายในเมืองไทยและเป็นที่นิยม เช่น Baileys Irish Cream (เบย์ลี่ส์ ไอริช ครีม), Carolans Irish Cream (คาโรแลนส์ ไอริช ครีม)
ไวน์ (Wine)เนื่องจากไวน์ ไม่ค่อยนิยมนำมาผสมเป็นเครื่องดื่มจำพวกค็อกเทล จึงไม่ขอเสนอรายละเอียดให้มากนัก จะเสนอไว้อย่างคร่าวๆเพื่อให้ทราบถึงการแบ่งจำพวกกลุ่มของเหล้า ไวน์คือสุราหมักชนิดหนึ่งที่ใช้องุ่นเป็นวัตถุดิบในการผลิต คำว่า Wine (ไวน์) มีรากฐานมาจากคำว่า Vine (ไวน์) แปลว่า เถาวัลย์หรือเถาองุ่น โดยทั่วไปแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
 
สตีล ไวน์ (Still Wine) หรือไวน์ไม่มีฟอง เป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่น  และมีปริมาณแอลกอฮอล์  ประมาณ 9-14% ส่วนเทเบิ้ลไวน์  (Table Wine) ก็เป็นสตีลไวน์ชนิดหนึ่ง (ซึ่งเป็นไวน์เกรด และคุณภาพต่ำที่สุด)
สปาร์คลิ้ง ไวน์ (Sparkling Wine) หรือไวน์มีฟอง เป็นไวน์ที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่  แชมเปญ (Champagne) ก็เป็นสปาร์คลิ้งไวน์ประเภทหนึ่ง  สปาร์คลิ้งไวน์ส่วนใหญ่ใช้ดื่ม ฉลองชัยชนะ การประสบความสำเร็จหรือ การเริ่มสิ่งใหม่
แอปเพอร์ริทีฟ ไวน์ (Aperitif Wine) คือไวน์เจริญอาหาร หรือไวน์ปรุงแต่งกลิ่นรส ไวน์ประเภทนี้ที่นักดื่มรู้จักดี คือ เวอร์มุท (Vermouth) ซึ่งปรุงแต่งให้มีกลิ่นหอมเครื่องเทศและสมุนไพร  ไวน์ประเภทนี้ใช้ดื่มเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนรับประทานอาหาร
ฟอร์ทิฟายด์ ไวน์ (Fortified Wine) เป็นไวน์ปรุงแต่งให้มีดีกรีสูงกว่าไวน์ธรรมดา โดยนำสตีลไวน์ธรรมดาไปเคล้าผสมกับเหล้าบรั่นดี ก่อนทำการบรรจุขวด ไวน์ชนิดนี้ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่
เชอร์รี่(Sherry)  เช่น Tio Pepe (ทิโอ เปเป้), Harveys Bristol Cream (ฮาเว่ย์ บริสตอท ครีม),Solero (โซเรโร่), Kirsberry (คิสเบอร์รี่) เป็นต้น
พอร์ท(Port) เช่น Taylor’s Special Ruby (เทย์เล่อส์ สเปเชี่ยล รูบี้),  Taylor’s Special Tawny (เทย์เล่อส์ สเปเชี่ยล ทวอนี่)  เป็นต้น
สตีลไวน์ (Still Wine) แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามสีของไวน์  ดังนี้
ไวน์แดง (Red Wine) หรือ เรด ไวน์
ไวน์ขาว (White Wine) หรือ ไวท์ ไวน์
ไวน์ชมพู (Rose Wine) หรือ โรเซ่ ไวน์
ไวน์ทั้ง 3 ประเภทนั้นแตกต่างกันตรงวัตถุดิบคือพันธุ์องุ่น ส่วนกรรมวิธีการผลิตใช้วิธีการคล้ายคลึงกัน
 
ไวน์แดง (Red Wine) วัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตไวน์แดงนั้น คือองุ่นแดงหรือม่วง ไวน์แดงที่ได้รับความนิยมในหมู่นักดื่มไวน์ คือไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์ คาร์เบอเน่ โซวิญอง (Carbernet Sauvignon), องุ่นพันธุ์ เมอร์โล (Merlot) จากเขตบอร์โดซ์ (Bordeaux) ประเทศฝรั่งเศส
ไวน์ขาว (White Wine) วัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตไวน์ขาวนั้น คือองุ่นขาวหรือองุ่นเขียว  ไวน์ขาวที่ได้รับความนิยมมากคือไวน์ที่ผลิตจากองุ่นขาวพันธุ์ ชาดอนเน่ (Chadonnay) จากเขตเบอร์กันดี (Burgundy) ประเทศฝรั่งเศส ไวน์ขาวมีความแตกต่างจากไวน์แดง คือ องุ่นที่นำมาผลิตจะเป็นองุ่นขาวหรือองุ่นเขียว  ส่วนขั้นตอนการหมัก ไวน์ขาวจะไม่หมักรวมกับเปลือก และก้านขององุ่น
ไวน์ชมพู (Rose Wine) หรือโรเซ่ ไวน์ชมพูมีความแตกต่างจากไวน์ขาวตรงที่ ใช้องุ่นแดงในการผลิต  และขั้นตอนการหมัก  ไวน์ชมพูจะหมักทั้งเปลือกและก้านไปสักระยะหนึ่งประมาณ 21 ชั่วโมง แล้วแยกเศษเปลือกและก้านออก  ส่วนวิธีการผลิตขั้นตอนอื่นๆ จะใช้วิธีเดียวกันกับการผลิตไวน์แดง


หนังสั้นสุรา


สุรา

สุรา (อังกฤษ: liquor หรือ spirit) หมายถึง น้ำเมาที่ได้จากการกลั่นสารบางประเภท อาทิ เอทิลแอลกอฮอล์และ เมรัย คือ น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ให้เกิดสารบางประเภท เมื่อดื่มแล้วสารนั้นจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากดื่มไม่มากอาจรู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากสารกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เมื่อดื่มมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่น ๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนแม้กระทั่งหมดสติในที่สุด ทั้งสุราและเมรัยเรียกโดยภาษาปากว่า "เหล้า"
ประเทศต่าง ๆ ได้วางกฎเกณฑ์สำหรับการผลิต การขาย และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำสำหรับผู้ที่สามารถบริโภคได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีสำหรับประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์ไม่ต่ำกว่า 18 ปีในประเทศไทย หรือไม่ต่ำกว่า 21 ปีในสหรัฐอเมริกา
การบริโภคทั้งสุราและเมรัยเป็นข้อห้ามในข้อสุราเมรยมัชปมาทัฏฐานหรือข้อที่ 5 แห่งเบญจศีลของพุทธศาสนาซึ่งว่า "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ" แปลได้ว่า "เราจักถือศีลโดยเว้นจากการบริโภคสุรายาเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท"
การทำเมรัยอาศัยยีสต์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดหนึ่งเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ เมรัยผลิตได้จากวัตถุดิบทุกอย่างที่มีน้ำตาล แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เมรัยทำจากน้ำตาลโตนดเรียกว่าน้ำตาลเมาหรือตวาก จากน้ำตาลขององุ่นเรียกว่าไวน์ เป็นต้น มนุษย์ยังรู้จักใช้เชื้อรา (บางชนิด) เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ทุกอย่างที่เป็นแป้ง เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ สามารถใช้ผลิตเมรัยได้ สาโท น้ำขาว อุ และ กระแช่ ผลิตจากแป้ง หากต้องการให้มีฤทธิ์แรงขึ้นก็นำเอาไปกลั่นเป็นสุรา หลังจากนั้นสามารถนำไปดื่มหรือนำไปหมักหรือบ่มต่อไป

เหล้ามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ แม้ว่าในเหล้าชนิดต่าง ๆ ยังมีสารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์ของเหล้าชนิดนั้น ๆ โดยเฉพาะเหล้าที่นำมาหมักดองกับสมุนไพรเพื่อปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติและสรรพคุณ เช่น เหล้าดองยาของไทย เหล้าเซี่ยงชุนของจีนเหล้าแคมปารีของอิตาลี เป็นต้น สารปรุงแต่งเหล่านี้เมื่อดื่มในปริมาณมาก หรือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ดื่มได้ แต่เมื่อดื่มในระยะเฉียบพลัน อาการต่าง ๆ ของผู้ดื่มนับได้ว่าเกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น
แอลกอฮอล์เป็นของเหลว ใส ระเหยได้ง่าย ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว และ ติดไฟได้ง่าย แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอนไฮโดรเจน และ ออกซิเจนมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ความรุนแรงของการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสโลหิต แอลกอฮอล์ที่กินได้ คือแอลกอฮอล์ชนิดเอทิล ส่วนแอลกอฮอล์ชนิดอื่นล้วนกินไม่ได้และเป็นพิษต่อร่างกายมากยิ่งไปกว่าเอทิล ถ้าเอาแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เช่น เมทิลแอลกอฮอล์มาผสมเป็นเหล้า กินเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัว ตาพร่า จนบอด และถึงกับเสียชีวิตได้
เมื่อกินเหล้าเข้าไปผ่านกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็ก แอลกอฮอล์ในเหล้าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย เมื่อกินอาหารมาก่อน แอลกอฮอล์ใช้เวลา 1 ถึง6 ชั่วโมง จึงจะถูกดูดซึมไปถึงระดับสูงสุดในเลือด แต่ถ้ากินเหล้าในขณะที่ท้องว่าง แอลกอฮอล์ใช้เวลาถูกดูดซึมสู่ ระดับสูงสุดในเลือด เพียง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง แอลกอฮอล์ในร่างกายถูกกำจัดโดยตับเป็นส่วนใหญ่ (95 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลือถูกขับออกทางลมหายใจ ปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ น้ำนม และน้ำลาย
แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เกิดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย แอลกอฮอล์ในปริมาณมากทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดอาการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ผู้ที่กินเหล้าจึงปัสสาวะบ่อย สูญเสียน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากในเวลาต่อมา อีกประการหนึ่ง บรรยากาศวงเหล้า ผนวกกับพลังงานที่ได้จากเหล้ามักทำให้ผู้ดื่มไม่รู้สึกอยากอาหาร ดังนั้นผู้ที่กินเหล้าเป็นนิจจึงอาจขาดสารอาหารได้ ที่สำคัญแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความเสียหายที่เนื้อตับ คนกินเหล้าจึงมีโอกาสเป็นตับอักเสบมากกว่าคนไม่กินและอาจพัฒนาไปถึงขั้นตับวายได้
มีความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับฤทธิ์ของเหล้าและแอลกอฮอล์ ถูกบ้างผิดบ้าง ผู้ที่นิยมดื่มก็มักอ้างฤทธิ์อันเป็นคุณของเหล้าหรือแอลกอฮอล์มาบดบังฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดโทษซึ่งมีมากกว่าหลายเท่านัก เช่น แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้จริงแต่ไม่สามารถทำลายไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิที่ปะปนมากับกับแกล้มดิบ ๆ สุก ๆ ได้ และยิ่งไม่สามารถฆ่าพยาธิ์ตัวแก่ในลำไส้ได้ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ผู้นิยมดื่มก็มักอ้างว่ากินเหล้าเพื่อให้เลือดลมดี ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อกินเหล้าในปริมาณน้อย (ถึงน้อยมาก) แต่เมื่อกินเหล้ามาก แอลกอฮอล์จะกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้พูดจาไม่ชัด ทรงตัวลำบาก สายตาพร่ามัว ขาดสติ ตับแข็งและอาจเกิดอันตรายนานับปการต่อผู้ดื่มและคนรอบข้าง


การทำหนังสั้น

การทำหนังสั้น
หนังสั้นเป็นหนังประเภทหนึ่งที่ทำได้ง่าย และไม่ต้องใช้ต้นทุนที่สูงมากนัก ประหยัดเวลา เหมาะแก่การเก็บไว้ เพื่อเป็นภาพความประทับใจต่างๆในอดีตโดยหนังสั้นสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี ใช้เวลาไม่เยิ่นเย้อ เพื่อให้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง

ขั้นตอนการทำ
1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research) เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม

2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise) หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น


3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis) คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็นstory outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)

4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment) เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise)  ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ

5. บทภาพยนตร์ (screenplay) สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script)เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที

6. บทถ่ายทำ (shooting script) คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง

7. บทภาพ (storyboard) คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ      เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย

การเขียนบทหนังสั้น

การเขียนบทหนังสั้น
การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราว หรือ บางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ

ขั้นตอนการเขียนบทหนังสั้น

1. Research
2. Theme
3. Plot
4. Synopsis
5. Treatment
6. Scenario
7. Paradigm
8. Screenplay
9. Shooting script
10. Storyboard

Research

ต้องยอมรับว่า คนทำหนังสั้น ส่วนใหญ่จะละเลยในขั้นตอนนี้ ซึ่งที่จริงแล้วการresearchเป็นสิ่งสำคัญนะ บางคนอาจจะไม่รู้วิธีการหรือไม่รู้foramttก็ไม่ว่ากัน เลยอยากจะคุยกัยในวิธีการคร่าวๆ ของขั้นตอนนี้ หนังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? นั่นแหละคือสิ่งที่ตัวละครเกี่ยวข้อง เราอาจจะต้องมีตัวละครในใจแล้วสักคนหนึ่ง การresearchเป็นการหารายละเอียดของตัวละครมาหาใส่ ที่จริงการresearchไม่มีformatt จุดประสงค์คือเก็บเกี่ยวข้อมูลของตัวละครให้ได้มากที่สุด สร้างเป็นประวัติของตัวละคร อะไรบ้างลองมาดูกัน

1.ชื่อ เช่น ชื่อชาวมุสลิม ฉายาของพระสงฆ์ ชื่อตัวละครเชื้อชาติอื่น(มีหนังไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ตั้งชื่อดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสด้วยภาษาอิตาลี) ถ้าเราไม่รีเสิรช อาจจะทำให้ใช้ภาษาผิด

2.อายุ อายุของตัวละครทำให้เรารู้ว่าตัวละครนั้นผ่านยุคสมัยอะไรมาบ้าง เคยผ่านสถานการณ์บ้านเมืองอะไรมา ผู้ใหญ่บางคนพูดว่ายี่เก ม.ศ.5 ในขณะที่เด็กสมัยเรียกว่า ช่วงชั้นที่4ปีที่2

3.ภูมิลำเนาวิถีชีวิตของคนแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน คำศัพท์บางคำก็ต่างกัน สำเนียงก็ต่างกัน ทัศนคติต่อสังคมก็ไม่เหมือนกัน ตัวละครบางตัวเกิดปมขัดแย้งในเรื่องการเป็นคนแปลกถิ่น ธรรมเนียมหรือกฎหมายของแต่ละประเทศก็ต่างกัน

4.ระดับการศึกษาจะมีผลต่อวุฒิภาวะของตัวละคร ภาษาที่ใช้ มุมมองต่อสังคม การควบคุมอารมณ์

5.อาชีพเป็นปัจจัยที่สร้างตัวตนของตัวละครที่ชัดเจนมากอย่างหนึ่ง ศัพท์ในอาชีพ ตำรวจก็มีวิธีการพูดแบบตำรวจแม้แต่ในคำพูดนอกเหนือจากการปฏิบัติงาน ครูสอนภาษาอังกฤษก็จะมีรูปแบบการใช้ประโยคที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ กิริยาท่าทางศิลปินแกะสลัก ก็ปอกผลไม้ไม่เหมือนคนทั่วไป คนเล่นโขนก็มีท่วงท่าการเดิน-วิ่งที่สง่างาม รูปพรรณสัณฐานบางอาชีพทำให้ร่างกายมีเอกลักษณ์ เช่น นักมวย ทหาร กรรมกรกลางแจ้ง แม่ครัวที่อยู่หน้าเตา เอกลักษณ์ที่เกิดจากการประกอบอาชีพนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่ทำให้นักแสดงกลายเป็นตัวละครของเรามากขึ้น

6.ฐานะการเงินเป็นพื้นฐานชีวิตของตัวละครเลยก็ว่าได้ เพราะมันส่งผลไปถึงรายละเอียดต่างๆของตัวละคร เช่น สภาพที่อยู่อาศัย พฤติกรรมการบริโภค เสื้อผ้า อาหาร ยี่ห้อของข้าวของเครื่องใช้ วิธีการเดินทาง รวมไปถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางอย่าง

7.กลุ่มทางสังคมเช่นแก๊งส์มอเตอร์ไซค์ แก๊งส์รถแต่ง เด็กแนว ฯ บางกลุ่มมีภาษาเฉพาะ เช่นกระเทย เดื๋อย หมายถึง เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เรียกแทนชื่อเพื่อน ไปไหนมาเดื๋อย รอนานแล้วนะเดื๋อย หรือเบเกอรี่ มีความหมายเดียวกับคำว่า ปาดหน้าเค้ก ตั้งหม้อ ลูกชุบ หมายถึง การแย่งชิงสิ่งของ หรือ บุคคลอันเป็นที่หมายปองของเราไป เช่น ดูนังแอนสิยะ พอเห็นผู้ชายหล่อมา นางก้อเบเกอรี่สุดฤทธิ์ เป็นต้น วัยรุ่น(บางกลุ่ม)เฮ้อวันนี้อารมณ์แฟ๊งค์สุดๆ เลยออกไปเดินเล่นชิวชิวข้างนอก

8.ตัวละครพิเศษ เช่น คนบ้า คนวิกลจิต คนป่วย ต้องรีเสิรชว่าเป็นประเภทไหน มีอาการอย่างไร หรือ ภาษามือ ภาษาเขียนของคนหูหนวกเป็นใบ้ ก็มีรูปแบบเฉพาะ

9.ความต้องการในชีวิต คนทุกคนมีความต้องการในชีวิต เราอาจจะออกแบบความต้องการของตัวละครได้ แต่การรีเสิรชจะทำให้เรารู้ว่าเหตุผลที่เราคิดขึ้นนั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด วิธีการที่ตัวละครปฏิบัติให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้นก็ต่างกันไป ยิ่งตัวละครไกลจากเราเท่าไหร่ยิ่งจำเป็นต้องรีเสิรช เช่น วิธีแก้ปัญหาของเด็ก การยอมรับความสูญเสียคนรักของพยาบาล ที่กล่าวมาอาจจะเป็นแค่ประวัติตัวละครกว้างๆ ที่จะนำไปสนับสนุนพฤติกรรมต่างๆของตัวละครเมื่อมีสถานการณ์ต่างๆเข้ามา แต่ตัวละครของหนังแต่ละเรื่องก็จะมีบุคลิกภาพเฉพาะ และสถานการณ์แตกต่างออกไป จึงควรมีการรีเสิรชตัวละครกับสถานการณ์ตามที่ออกแบบด้วย วิธีรีเสิรชที่ดีที่สุดคือการรีเสิรชจากบุคลที่ใกล้เคียงกับตัวละครของเราที่สุด และลองตั้งคำถามกับเขาว่าถ้าต้องเจอกับสถานการณ์ตามที่เราออกแบบ จะมีมุมมองหรือวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

Theme

แปลได้ว่า แก่น ใจความสำคัญ แนวคิดหลัก สาร ประเด็น ฯ หนังสั้นที่ได้ผลดี ควรจะมีthemeเพียงหนึ่งเดียว คือมีประเด็นหลักที่ต้องการจะสื่อสารเพียงหนึ่งสิ่ง เพราะเวลาที่สั้นทำให้ไม่สามารถเล่าประเด็นหลายๆประเด็นได้อย่างสมบูรณ์

การเขียนtheme ไม่ได้ต้องใช้คำสวยหรู ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจยาก ไม่ต้องเป็นปรัชญา ไม่จำเป็นต้องเป็นแนวคิดสากล เป็นความแนวคิดส่วนตัวก็ได้ เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อในแนวคิดหรือthemeนั้นๆ และมีมุมมองที่จะนำเสนอ เหมือนกับการที่เราจะโน้มน้าวใจเรื่องอะไรสักเรื่องกับใครสักคน ถ้าเราไม่เชื่อในแนวคิดนั้นแล้ว มุมมองที่จะใช้ถ่ายทอด ชักจูง ต่อต้านฯ ก็จะไม่แม่น

รูปแบบหรือformattของtheme มักจะเป็นประโยคสั้นๆ ที่มีความชัดเจน themeเป็นประเด็นหรือแนวคิดสำคัญที่คนเขียนบทต้องการจะบอก โดยหาสถานการณ์ต่างๆมารองthemeนั้น บางคนก็เอามาจากสำนวน สุภาษิต คำพังเพย เช่น กล้านักมักบิ่น ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก ปล่อยเสือเข้าป่า

จากคำคม เช่น “Praise the bridge that carried you over.” – George Colman – จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา “Well done is better than well said.” – Ben Franklin- การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู

หรือthemeของบางคน ไม่ได้เป็นสำนวนเปรียบเทียบ หรือปรัชญาอะไรเลย เพียงแต่ชัดเจนในเรื่องที่จะเล่า เช่น เล่นดนตรีทำให้ลืมความทุกข์ หลังคารั่วก็ไปอุดรูหลังคา ไม่ใช่เอากะละมังมารองน้ำฝน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนหน่อยในเรื่องthemeคือ ภาพยนตร์โฆษณา และมิวสิควิดีโอ จะมีรูปแบบการนำเสนอใกล้เคียงกับหนังสั้น หนังโฆษณานี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย เพราะหนังโฆษณาแต่ละเรื่องจะมีthemeที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของสินค้าด้วย เช่น ชีวิตมีเรื่องดีดีตั้งเยอะ!! อย่างMVก็จะมีเนื้อหาของเพลงเป็นแนวทางอยู่แล้ว ซึ่งเพลงหนึ่งเพลงก็มักจะมีแนวคิดสำคัญเพียงอันเดียว ในภาพยนตร์ขนาดยาวก็ต้องมีประเด็นที่เป็นthemeหลัก(ประเด็นอื่นๆอาจจะป็นsubtheme) เช่น เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ (15ค่ำ เดือน11)

พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่(Spiderman)

Plot

การเขียนพล็อตก็เหมือนกัน มันเปรียบเสมือนการทำแผนที่ แผนผัง การทำพล็อตหนังสั้น ผมแนะนำให้พล็อตไว้ 3 จุดครับ คือ

1.จุดเริ่มต้น
2.จุดหักเห
3.จุดจบ จุดเริ่มต้น อย่างน้อยควรรู้ว่าตัวละครคือใคร สถานการณ์ทั่วไปเป็นอย่างไร จุดหักเห คือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นเจอ ในหนังสั้นมักจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนนัก เป็นปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของตัวละคร จุดจบ

คือสถานการณ์ที่เป็นจุดเข้มข้นสุดของเรื่อง ก่อนที่จะคลี่คลายหรือจบลง

Synopsis

n. สรุป, สรุปความ, ข้อใหญ่ใจความ, สาระสำคัญ

ในทางการเขียนบท เรามักเรียกSynopsisว่า เรื่องย่อ รูปแบบการเขียนsynopsisของหนังสั้น มักจะเป็นความเรียง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างย่อ มีความยาวประมาณ5-6บรรทัด เล่าตัวละครและเหตุการณ์เพื่อสรุปว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ฯ ด้วยมุมObjectiveของคนเขียนบทเอง คล้ายๆกับการเขียนเรื่องย่อบนปกหลังกล่องVCD แต่อย่างที่บอก ไม่ต้องกั๊กตอนจบ ในขั้นนี้แนะนำให้เขียนเรื่องให้ได้3ย่อหน้า (เหมือนเขียนเรียงความ มีคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป)โดยยึดจากหลักจากการเขียนplot อาจจะเป็น

ย่อหน้าของจุดเริ่มต้น2บรรทัด

ย่อหน้าของจุดหักเห3บรรทัด

และย่อหน้าของจุดจบ1บรรทัด

Treatment

n. การรักษา, การเยียวยา, การปฏิบัติต่อ, การกระทำต่อ, วิธีการทางวรรณกรรม treatment ในการเขียนบท หมายถึงโครงเรื่องขยาย คือมีการเขียนคำอธิบายขยายเนื้อเรื่องชัดเจนมากขึ้น เหมือนรูปแบบของนวนิยายหรือเรื่องสั้น มีการบรรยายรายละเอียดต่างๆที่จำเป็นต่อการเล่าเรื่อง เช่น ชื่อตัวละคร ลักษณะตัวละคร สถานการณ์ต่างๆ สถานที่ วัน เวลา เหตุผลของตัวละคร ฯ แต่ยังไม่มีบทสนทนา (นอกจากว่า จะเป็นประโยคสำคัญ) treatmentหนังสั้น มักมีความยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นบทที่นิยมมอบให้คนอื่นอ่าน เพราะจะมีรายละเอียดที่มากพอจะเล่าเรื่องได้สมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมักตั้งชื่อตัวละครไปด้วย อย่างที่เคยกล่าวมาว่า ชื่อตัวละครของหนังสั้นที่ดี ควรจะสื่อถึงcharacterด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ถึงกับสื่อสารได้ทันที แต่ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ ถ้าเราจะไม่ได้คิดมามั่วๆ

Scenario

Scenario scenario เป็นขั้นตอนต่อมาจาก treatment มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งฉากของtreatment ให้เห็นเป็นsceneชัดเจน และนิยมเขียนเป็นข้อๆว่า ในsceneเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อคำนวณความยาวของแต่ละฉาก และคะเนได้ว่าทั้งเรื่องจะยาวเท่าไหร่ สำนวนการเขียนจะรวบรัด และใช้ภาษาอธิบายเหตุการณ์ การแสดง มากกว่าอธิบายความคิด หรืออารมณ์ตัวละคร ในขั้นการเขียนscenario จะมีการเขียนหัวฉาก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.Scene Number เขียนว่า ฉาก1 หรือScene1หรือrunเป็นตัวอักษร ตามแต่ถนัด 2.ระบุว่าเป็นฉากภายนอกหรือภายใน ฉากภายนอก หมายถึง ฉากที่อยู่กลางแจ้ง ไม่มีฝาผนัง หลังคา หรือสิ่งปกคลุม เช่น สนามกอล์ฟ ถนน สะพานลอย ทุ่งนา ดาดฟ้า ฯ หรือพูดง่ายๆว่าภายนอกจากอาคารหรือสิ่งปกคลุม นิยมเขียนว่า ภายนอกหรือExteriorหรือExt ฉากภายในหมายถึง ฉากที่มีฝาผนังอย่างน้อย1ด้าน ภายในอาคาร อุโมงค์ใต้ดิน ในรถ ในบ้าน นิยมเขียนว่า ภายในหรือInteriorหรือInt 3.ชื่อฉาก หมายถึง ชื่อสถานที่นั้นๆ เช่น ห้องฉุกเฉิน สถานีตำรวจ ออฟฟิศฯ (ให้เขียนชื่อสถานที่ตามเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ชื่อLocationจริง) 4.เวลา ให้เขียนเวลาตามเนื้อเรื่อง นิยมเขียน กลางวัน , กลางคืน หรือDay , Night แต่ถ้าจะระบุช่วงเวลาละเอียดกว่านั้นก็ได้ เช่น เช้าตรู่ ,เที่ยง , โพล้เพล้

Paradigm

Paradigm เป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่ง ที่ช่วยสรุปจังหวะของการเขียนบทที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ขั้นตอนที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าเรื่องนั้นดำเนินไปเป็นฉากๆแล้ว แต่เรายังไม่ได้ถอยออกมา แล้วมองเรื่องทั้งเรื่อง เป็นจังหวะหรือstepของการดำเนินเรื่อง วิธีการของขั้นตอนนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์และตีความ คุณสมบัติหรือหน้าที่ของแต่ละฉาก เพื่อตรวจสอบดูว่าอะไรขาด อะไรเกิน และไปสู่การ ออกแบบstepของการเล่าเรื่องนั่นแหละครับ ถ้าไม่พอใจ จะได้แก้ไขก่อนจะเข้าสู่Screenplay การวิเคราะห์ ตีความ คุณสมบัติและหน้าที่ของฉาก คุณสมบัติหรือหน้าที่ที่พูดถึงนี้ คือ หน้าที่ต่อการเล่าเรื่อง เล่าอารมณ์ เราต้องสรุปได้ว่า ฉากนั้นๆ มีประโยชน์อย่างไร